ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของดนตรีสากล
โดย
คุณครูอิสรินทร์ ทาส่วย
โรงเรียนเขาสวนกวางวิทยานุกูล
ในระยะแรก ดนตรีมีเพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า Melody ไม่มีการประสานเสียง จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราเริ่มรู้จักการใช้เสียงต่างๆมาประสานกันอย่างง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึ้นมา
ยุคต่างๆของดนตรีสากล
นักปราชญ์ทางดนตรีได้แบ่งดนตรีสากลออกเป็นยุคต่างๆดังนี้
1. Polyphonic Perio (ค.ศ. 1200-1650) ยุคนี้เป็นยุคแรก วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนมีแบบฉบับและหลักวิชการดนตรีขึ้น วงดนตรีอาชีพตามโบสถ์ ตามบ้านเจ้านาย และมีโรงเรียนสอนดนตรี
วิวัฒนาการของดนตรีสากล
ดนตรีสากล
มีประวัติความเป็นมา และวิวัฒนาการที่ยาวนาน แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของชาติตะวันตกซึ่งเป็นที่นิยมและยอมรับกันทั่วโลก
ในการศึกษาดนตรีสากล เพื่อความรู้ ความเข้าใจ และความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก
จึงจำเป็นจะต้องศึกษาวิวัฒนาการของดนตรีสากลในด้านต่างๆ ดังนี้
วงดนตรีสากลยุคต่างๆ
1. ยุคกลาง (Middle
Age) ค.ศ. 500-1400
บทเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงร้องที่ใช้ในโบสถ์เพื่อสรรเสริญพระเจ้าเพียงอย่างเดียว
โดยบางครั้งอาจเป็นการร้องสอดประสานกันบ้างประมาณ 2-3 แนวในปลายยุคและยังไม่พบการบรรเลงที่เป็นรูปแบบมาตรฐานอย่างเด่นชัด
2. ยุครีเนซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
(Renaissance) ค.ศ. 1400-1600
บทเพลงในยุคนี้เริ่มมีการผสมผสานระหว่างเพลงพื้นฐานกับเพลงที่ใช้ในโบสถ์
โดย
การนำเอาเทคนิคการประพันธ์เพลงพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้กับเพลงสวด ทำให้เกิดการนำเอาเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบในเพลงสวดที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น ออร์แกน ฮาร์ฟซิคอร์ด เป็นต้น
การนำเอาเทคนิคการประพันธ์เพลงพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้กับเพลงสวด ทำให้เกิดการนำเอาเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบในเพลงสวดที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น ออร์แกน ฮาร์ฟซิคอร์ด เป็นต้น
3. ยุคบาโรก (Baroque)
ค.ศ. 1600-1750
เครื่องดนตรีได้รับการพัฒนาจึงทำให้นักดนตรีมีความสามารถในการบรรเลงอย่างมาก
จึงทำให้ยุคนี้มีประเภทการบรรเลงดนตรีที่หลากหลายมากขึ้น เช่น โซนาตาคอนแชร์โต โอเปรา เป็นต้น เริ่มมีการผสมวงออร์เคสตรา เพื่อใช้ประกอบการแสดงละครเพลงหรือโอเปรา (Opera) แต่ลักษณะการผสมวงของเครื่องดนตรียังไม่มีการกำหนดที่แน่นอน นอกจากนี้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายยังได้รับการพัฒนาอย่างมาก
จึงทำให้ยุคนี้มีประเภทการบรรเลงดนตรีที่หลากหลายมากขึ้น เช่น โซนาตาคอนแชร์โต โอเปรา เป็นต้น เริ่มมีการผสมวงออร์เคสตรา เพื่อใช้ประกอบการแสดงละครเพลงหรือโอเปรา (Opera) แต่ลักษณะการผสมวงของเครื่องดนตรียังไม่มีการกำหนดที่แน่นอน นอกจากนี้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายยังได้รับการพัฒนาอย่างมาก
4. ยุคคลาสสิก (The
Classical Era) ค.ศ. 1750-1820
เครื่องดนตรีมีวิวัฒนาการมาจนสมบูรณ์ที่สุด เริ่มมีการผสมวงที่กำหนดแน่นอนว่าเป็นวงเล็กหรือใหญ่
คือ วงเชมเบอร์มิวสิก
และวงออร์เคสตราในการจัดวงออร์เคสตราใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท คือ เครื่องสาย
เครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตี
วงออร์เคสตรา ในยุคนี้ถือได้ว่ามีรูปแบบที่ใช้เป็นแบบแผนมาจนถึงปัจจุบัน
วงออร์เคสตรา ในยุคนี้ถือได้ว่ามีรูปแบบที่ใช้เป็นแบบแผนมาจนถึงปัจจุบัน
5. ยุคโรแมนติก (The
Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900
ในยุคนี้
เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการพัฒนารูปร่างจนสามารถบรรเลงด้วยวิธีการและเทคนิคต่างๆ
ที่หลากหลายได้เป็นอย่างดีในส่วนของการผสมวงออร์เคสตรา ยังคงใช้หลักการ
ผสมวงออร์เคสตราตามยุคคลาสสิก และเพิ่มขนาดโดยการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้มีความยิ่งใหญ่ขึ้นเพื่อให้อารมณ์ของบทเพลงมีความหลากหลายและสามารถสื่อถึงผู้ฟังได้อย่างเด่นชัด
6. ยุคศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1900 - ปัจจุบัน)
บทเพลงยุคต่างๆ
1. ยุคกลาง (Middle Age)
ค.ศ. 500-1400
บทเพลงที่ปรากฏในยุคนี้ คือ เพลงสวด (Chant) ซึ่งเป็นบทเพลงที่ใช้ในพิธีกรรม
เป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า เนื้อหาของเพลงจะเป็นการสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ภาษาที่ใช้บทเพลงร้องส่วนใหญ่ คือ ภาษาละติน ในระยะแรก เพลงสวดเป็นการร้องแนวเดียวไม่มีดนตรีประกอบ ไม่มีอัตราจังหวะ และจะใช้เสียงเอื้อนในการทำทำนองไปไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ต่อมาในระยะหลังๆ เริ่มพัฒนาการร้องให้มีแนวการร้องสองประสาน เป็นเพลงร้องสองแนว และเริ่มที่จะมีอัตราจังหวะที่แน่นอน จนกลายเป็น รูปแบบการร้องประสานเสียง ที่มากกว่า 2 แนวขึ้นไป
เป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า เนื้อหาของเพลงจะเป็นการสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ภาษาที่ใช้บทเพลงร้องส่วนใหญ่ คือ ภาษาละติน ในระยะแรก เพลงสวดเป็นการร้องแนวเดียวไม่มีดนตรีประกอบ ไม่มีอัตราจังหวะ และจะใช้เสียงเอื้อนในการทำทำนองไปไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ต่อมาในระยะหลังๆ เริ่มพัฒนาการร้องให้มีแนวการร้องสองประสาน เป็นเพลงร้องสองแนว และเริ่มที่จะมีอัตราจังหวะที่แน่นอน จนกลายเป็น รูปแบบการร้องประสานเสียง ที่มากกว่า 2 แนวขึ้นไป
2. ยุครีเนซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
(Renaissance) ค.ศ. 1400-1600
ดนตรียังคงเป็นลักษณะสอดประสานทำนองโดยมีการล้อกันของแนวทำนองที่เหมือนกัน
รูปแบบการประพันธ์เพลงมีมากขึ้น ในยุคนี้ยังเน้นการร้องเป็นพิเศษ
สำหรับดนตรีคฤหัสถ์ (ดนตรีประชาชนทั่วไป) เริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งมักเป็นเพลงร้องประกอบดนตรี
3. ยุคบาโรก (Baroque)
ค.ศ. 1600-1750
บทเพลงบรรเลงมีความสำคัญเทียบเท่ากับบทเพลงร้อง เนื่องจากเครื่องดนตรีมีการพัฒนาทั้งรูปและเสียง
รูปแบบการประพันธ์เพลงในยุคนี้มีการพัฒนาและปรับปรุงจนมีลักษณะเด่นชัด
โดยเฉพาะคอนแชร์โต (Concerto) ตัวบทเพลงประชันระหว่างเครื่องดนตรีประเภทเดี่ยวกับวงดนตรีซึ่งแสดงความสามารถของผู้บรรเลงได้เป็นอย่างดี
บทเพลง Concerto ที่ได้รับความนิยมคือ The Four
Season ของวิวัลดี
และยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของบทเพลงบรรเลงประเภทต่างๆ
4. ยุคคลาสสิก (The
Classic Era) ค.ศ. 1750-1820
เป็นยุคที่สำคัญมากของดนตรีตะวันตก เนื่องจากรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ
ประพันธ์เพลง การผสมวง หรือบทเพลงบรรเลงมีความเป็นแบบแผนอย่างมาก รูปแบบการ
ประพันธ์บทเพลงในยุคนี้ได้แก่ โซนาตา คอนแชร์โต ซิมโฟนี และการผสมวงได้แก่ วงเชมเบอร์- มิวสิก และออร์เคสตรา ทุกอย่างล้วนจัดให้มีมาตรฐานทั้งสิ้น นอกจากนี้ ละครร้องหรือโอเปรา (Opera) ก็ได้รับการพัฒนาจนได้รับความนิยมทั่วไป
ประพันธ์เพลง การผสมวง หรือบทเพลงบรรเลงมีความเป็นแบบแผนอย่างมาก รูปแบบการ
ประพันธ์บทเพลงในยุคนี้ได้แก่ โซนาตา คอนแชร์โต ซิมโฟนี และการผสมวงได้แก่ วงเชมเบอร์- มิวสิก และออร์เคสตรา ทุกอย่างล้วนจัดให้มีมาตรฐานทั้งสิ้น นอกจากนี้ ละครร้องหรือโอเปรา (Opera) ก็ได้รับการพัฒนาจนได้รับความนิยมทั่วไป
5. ยุคโรแมนติก (The
Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900
ยุคนี้เป็นยุคที่นำหลักการของยุคคลาสสิกมาใช้ผสมผสานกับการใส่อารมณ์ความรู้สึก
เข้าไปในบทเพลงทำให้บทเพลงมีความไพเราะ สง่างาม อ่อนหวาน ในขณะหนึ่งก็สะเทือนอารมณ์ของผู้ฟังได้เช่นกัน สำหรับวงออร์เคสตรา มีการเพิ่มขนาดของวงให้ใหญ่ขึ้น เพื่อความสมบูรณ์แบบของเสียงในวงดนตรี ยุคนี้ทำนองของบทเพลงเน้นแนวทำนองหลักและใช้การประสานเสียงเพื่อให้มีความไพเราะ บทเพลงที่นิยมในยุคนี้คือดนตรีบรรยายเรื่องราว คีตกวีที่สำคัญในยุคนี้คือ เบโธเฟน
เข้าไปในบทเพลงทำให้บทเพลงมีความไพเราะ สง่างาม อ่อนหวาน ในขณะหนึ่งก็สะเทือนอารมณ์ของผู้ฟังได้เช่นกัน สำหรับวงออร์เคสตรา มีการเพิ่มขนาดของวงให้ใหญ่ขึ้น เพื่อความสมบูรณ์แบบของเสียงในวงดนตรี ยุคนี้ทำนองของบทเพลงเน้นแนวทำนองหลักและใช้การประสานเสียงเพื่อให้มีความไพเราะ บทเพลงที่นิยมในยุคนี้คือดนตรีบรรยายเรื่องราว คีตกวีที่สำคัญในยุคนี้คือ เบโธเฟน
6. ยุคศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน)
ยุคนี้เป็นยุคเปลี่ยนแปลงดนตรีชาติตะวันตก มีการเน้นรูปแบบจังหวะมากขึ้น
และ
บันไดเสียงเริ่มมีการใช้บันไดเสียง 12 เสียง หลักการในการประพันธ์บทเพลงมีความแตกต่างจากยุคก่อนนี้ เริ่มมีการประสานเสียงทำให้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายหู เริ่มมีการทดลองทฤษฎีแปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งทำให้กฎเกณฑ์ทางดนตรีมีความหลากหลาย ถือได้ว่ายุคนี้เป็นยุคการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายตามที่ได้พบเห็นในปัจจุบัน
บันไดเสียงเริ่มมีการใช้บันไดเสียง 12 เสียง หลักการในการประพันธ์บทเพลงมีความแตกต่างจากยุคก่อนนี้ เริ่มมีการประสานเสียงทำให้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายหู เริ่มมีการทดลองทฤษฎีแปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งทำให้กฎเกณฑ์ทางดนตรีมีความหลากหลาย ถือได้ว่ายุคนี้เป็นยุคการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายตามที่ได้พบเห็นในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น